โลกในยุค 5G ที่หมุนเร็วขึ้น อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความกดดัน ทั้งจากการทำงาน ครอบครัว หรือปัญหาส่วนตัว ความเครียดจึงกลายเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และเมื่อสะสมมากเกินไปก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) สุดท้ายไฟแห่งความเครียดนั้นก็เผาจิตใจจนสูญเสียแรงบันดาลใจและไม่อยากทำสิ่งที่เคยรักอีกต่อไป ใครที่คิดว่าตัวเองก็กำลังอยู่ในภาวะนี้ ต้องรีบมาเรียนรู้วิธีสังเกตและรับมือ เพื่อช่วยให้ไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้นานเกินไป
เข้าใจความแตกต่างระหว่างความเครียดและภาวะหมดไฟ
ความเครียด เป็นเหมือนแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากภาระหน้าที่ หรือความคาดหวังที่มีต่อเรา ตัวอย่างเช่น การต้องส่งงานให้ทันกำหนด หรือการรับผิดชอบหลายหน้าที่ในเวลาเดียวกัน แม้จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม กลับเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลักดันให้เรามีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นได้
แต่…ภาวะหมดไฟกลับต่างออกไป เพราะไม่ใช่เพียงความกังวลชั่วครั้งชั่วคราว ความรู้สึกนี้จะอยู่ลึกและเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานกว่า คนที่หมดไฟมักรู้สึกว่าตัวเองไร้พลัง ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ เหมือนกำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่มืดมนและไม่มีจุดหมาย บางคนถึงขั้นไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า ไม่ใช่เพราะเหนื่อยกาย แต่เพราะใจไม่อยากเริ่มต้นวันใหม่ จนบางครั้งก็แค่ตื่นมาอาบน้ำแล้วไปเข้างานให้มันจบ ๆ ตามเวลา สุดท้ายก็ส่งผลกระทบถึงหน้าที่การงาน ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้
และความต่างที่สำคัญ คือ เครียดอาจยังมีไฟอยู่ แต่หมดไฟคือการที่ไฟนั้นดับมอดลงแล้ว และหากไม่รีบแก้ไข อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงยิ่งขึ้นตามมา
สัญญาณเตือนภาวะเครียดและหมดไฟที่ต้องใส่ใจ
อาการของความเครียดและหมดไฟมักจะไม่ได้เกิดขึ้นชัดเจนในทันที แต่จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย การสังเกตเห็นอาการตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยให้เราหยุดพักและหาทางออกก่อนที่ปัญหาจะลุกลามได้ อาการที่มักเกิดขึ้นก็คือ
1. รู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรัง แม้จะพักผ่อน หรือลาพักร้อนไปหลายวันแล้วก็ตาม
หลายคนเข้าใจว่าอาการเหนื่อยเกิดจากการอดนอนหลาย ๆ วัน หรือเกิดจาการทำงานหนักติดต่อกันทั้งสัปดาห์ แต่หากคุณนอนครบ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนแล้วยังรู้สึกหมดแรงอยู่ตลอด หรือแม้แต่ลาพักร้อนไปแล้ว 3-5 วัน ก็ยังไม่อยากกลับมาทำงาน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า ไม่ใช่มีแค่ปัญหาทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากสภาพจิตใจที่สะสมความเครียดไว้นานเกินไป
2. หมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ
หากกิจกรรมที่เคยทำแล้วมีความสุข เช่น ฟังเพลง เล่นเกม อ่านหนังสือ หรือพบปะเพื่อนฝูง กลับกลายเป็นสิ่งที่รู้สึกหนักใจหรือน่าเบื่อ นั่นสะท้อนว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟที่ทำให้สมองลดการหลั่งสารแห่งความสุข
3. อารมณ์แปรปรวนง่าย
การหงุดหงิดกับเรื่องเล็กน้อย หรือการเสียใจรุนแรงเกินกว่าเหตุ มักเกิดจากการที่สมองและร่างกายอยู่ในสภาวะตึงเครียดตลอดเวลา จึงควบคุมอารมณ์ได้น้อยลง
4. สมาธิสั้นและประสิทธิภาพการทำงานลดลง
ความเครียดสะสมจะทำให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ยากขึ้น งานที่เคยทำได้เร็วกลับใช้เวลานานกว่าเดิม หรือคิดงานไม่ออกตลอดวันจนอาจส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองได้
5. ความสัมพันธ์เริ่มถดถอย
เมื่อหมดไฟหลายคนเลือกเก็บตัวอยู่ลำพัง ไม่อยากพูดคุยหรือไม่ยอมเข้าสังคม เพราะรู้สึกว่าไม่มีพลังเหลือพอสำหรับการสื่อสาร สิ่งนี้อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวแย่ลงได้
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเครียดและหมดไฟ
แม้ภาวะนี้จะฟังดูหนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ การดูแลตัวเองให้ครบทุกมิติจะสามารถช่วยให้กลับมามีพลังใจได้อีกครั้ง
1. จัดสมดุลชีวิต
เริ่มจากการทบทวนตารางชีวิต ลองตั้งเวลาสำหรับงาน การพักผ่อน และกิจกรรมส่วนตัวอย่างชัดเจน และต้องทำตามนั้นอย่างมีวินัย การให้เวลากับตัวเองมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นแก่ตัว แต่เป็นการเติมพลังใจเพื่อให้พร้อมกลับไปทำงานอย่างมีคุณภาพ
2. ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
“กีฬาคือยาวิเศษ” ฟังดูอาจจะโบราณ แต่คำนี้ใช้ได้จริงไม่เว้นแม้กับสภาพจิตใจ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณออกกำลังกายเหมือนจะไปคัดตัวนักกีฬา เพราะแค่เริ่มจากการเดินเร็วพร้อมกับเพลย์ลิสต์เพลงโปรด หรือแอโรบิก 20-30 นาทีต่อวันก็เพียงพอแล้ว
3. ฝึกสติและการหายใจเพื่อคลายความตึงเครียด
การนั่งสมาธิหรือฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ จะช่วยให้สมองลดความคิดฟุ้งซ่านและกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ เทคนิคง่าย ๆ ที่นักจิตวิทยาแนะนำไว้คือ การหายใจเข้า 4 วินาที กลั้นไว้ 4 วินาที และหายใจออก 6 วินาที ทำซ้ำ 3-5 รอบ จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันที
4. พักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
ถ้าคุณกำลังคิดว่า…คืนนี้จะเข้านอน 4 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า จะได้นอนครบ 8 ชั่วโมง ต้องขอบอกว่าคุณคิดถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะการนอนหลับต้องมีคุณภาพด้วย โดยเริ่มจากการจัดบรรยากาศในห้องนอนที่เอื้อต่อการพักผ่อน ลองปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนเข้านอนสักหนึ่งชั่วโมง ทำห้องให้เงียบ มืด และลดอุณหภูมิห้องให้รู้สึกสบาย เพื่อให้นอนหลับได้ต่อเนื่อง พร้อมเข้าสู่การหลับลึกและหลับฝันได้นานขึ้น เพราะจะช่วยให้ร่างกายและสมองฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
5. เปิดใจพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
การเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวยิ่งทำให้ความเครียดสะสมมากขึ้น เพราะเสียงในหัวตัวเองก็มาจากจิตของคุณขณะนั้น ดังนั้น การเล่าเรื่องเครียดของคุณให้คนที่ไว้ใจฟังบ้าง ไม่เพียงช่วยให้ใจเบา แต่ยังทำให้ได้มุมมองใหม่ในการแก้ปัญหา หากไม่กล้าเปิดเผยกับคนใกล้ชิด การปรึกษานักจิตวิทยาจะเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้คุณได้แนวทางแก้ไขที่ตรงจุดมากขึ้น
6. ให้รางวัลกับตัวเองเล็ก ๆ
บางครั้งการหมดไฟก็เกิดจากการที่เรารู้สึกว่า “ทำมาก” แต่ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย การมอบของขวัญเล็ก ๆ เช่น การทานอาหารที่ชอบ การไปเที่ยวในวันเสาร์แล้วกลับมานอนพักผ่อนเฉย ๆ วันอาทิตย์ หรือการหยุดพักหนึ่งวันโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็สามารถช่วยเติมพลังใจได้อย่างมาก
7. การมองตนเองด้วยความเข้าใจ
เมื่อเผชิญกับภาวะเครียดหรือหมดไฟ หลายคนอาจเผลอโทษตัวเองว่าไม่เข้มแข็งพอ แต่แท้จริงแล้วการยอมรับว่าเรากำลังเหนื่อยคือสัญญาณของความกล้าหาญ หากเริ่มมองตนเองด้วยความเข้าใจและเมตตา จะช่วยให้เราค่อย ๆ ฟื้นพลังใจได้เร็วขึ้น การดูแลสุขภาพจิตก็เหมือนการดูแลร่างกาย หากเจ็บป่วยเรายังไปหาหมอ เช่นเดียวกัน หากใจเหนื่อยล้า ก็ควรได้รับการดูแลจากนักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญเช่นกัน
บทสรุป
ความเครียดและภาวะหมดไฟสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และหาวิธีดูแลตนเองคือหนทางที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม แต่หากรู้สึกว่าจัดการเองไม่ไหว จะไปบอกใครก็ไม่กล้า การเลือกปรึกษากับนักจิตวิทยาจะช่วยให้คุณได้มุมมองและแนวทางใหม่ ๆ ที่เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะบุคคลมากขึ้น Happy Me Clinic ขออาสาเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้คุณได้พูดคุย รับฟัง และหาทางแก้ไขไปด้วยกัน เพื่อให้คุณได้ไฟแห่งแรงบันดาลใจกลับคืนมา