การแยกทางอาจเปลี่ยนสถานะของคำว่า “คู่ชีวิต” แต่ไม่อาจเปลี่ยนความเป็น “พ่อแม่” ไปจากลูกได้ ดังนั้นความรักและความมั่นคงจากพ่อแม่ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม และนี่คือหัวใจของ Co-parenting หรือ “การเลี้ยงลูกแบบร่วมมือกันหลังการแยกทาง” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีปัญหาครอบครัวและอารมณ์ของผู้ใหญ่ยังไม่มั่นคง การมีกติกาที่ชัดเจนและให้เวลาอย่างสม่ำเสมอในการดูแลลูก จะช่วยลดความสับสน ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจได้ว่าพ่อแม่ยังคงเป็นทีมเดียวกันในการดูแลชีวิตของลูก
10 กติกา Co-parenting ที่ช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย
Co-parenting ที่ดีไม่ใช่แค่การแบ่งหน้าที่ว่าใครต้องทำอะไรเท่านั้น เพราะเจตนาคือการตั้งข้อตกลงร่วมกันเพื่อให้ลูกยังรู้สึกมั่นคงเหมือนเดิม แม้บรรยากาศของครอบครัวจะเปลี่ยนไปก็ตาม หากมีกติกาที่ชัดเจนก็จะช่วยลดความสับสน และทำให้พ่อแม่ยังร่วมกันดูแลลูกได้อย่างราบรื่น ซึ่งสิ่งที่ควรทำมีดังนี้
1. แยกเรื่องลูกออกจากความขัดแย้งส่วนตัว
หลังการแยกทาง สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องทำคือ “หยุดเอาปัญหาครอบครัวที่เกิดจากผู้ใหญ่ไปปะปนกับเรื่องของลูก” เด็กไม่ควรต้องรับรู้ถึงความโกรธหรือความเสียใจระหว่างพ่อแม่ การสื่อสารเกี่ยวกับลูกจึงควรเน้นที่ข้อเท็จจริง เช่น การเรียน สุขภาพ หรือกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว
2. กำหนดขอบเขตการสื่อสารให้ชัดเจน
Co-parenting ที่ดีต้องอาศัยการสื่อสารอย่างมีระบบ เช่น ตกลงช่องทางสื่อสารเรื่องลูกผ่าน LINE หรือโทรศัพท์ และกำหนดช่วงเวลาชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์ชั่ววูบที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้
3. ไม่พูดถึงอีกฝ่ายในเชิงลบต่อหน้าลูก
เด็กที่ได้ยินคำตำหนิหรือคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับพ่อหรือแม่จากอีกฝ่าย จะเกิดความสับสนทางอารมณ์ และรู้สึกเหมือนต้อง “เลือกข้าง” ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง การรักษาภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายในสายตาลูก คือการปกป้องจิตใจของลูกเช่นกัน
4. ให้เวลาคุณภาพกับลูกอย่างแท้จริง
ไม่สำคัญว่าพ่อหรือแม่จะมีเวลาอยู่กับลูกกี่วันต่อสัปดาห์ แต่สิ่งที่สำคัญคือ “คุณภาพของเวลา” ช่วงเวลาที่อยู่กับลูกควรเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความสนใจและความอบอุ่น ไม่ใช่แค่การทำหน้าที่ตามตารางนัด
5. เคารพข้อตกลงในการดูแลลูก
เมื่อมีการแบ่งเวลาหรือหน้าที่การดูแล ควรยึดตามข้อตกลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกว่าพ่อแม่ทั้งสองคนยังรับผิดชอบและเชื่อถือได้ เพราะการผิดนัดบ่อย ๆ อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงทางใจ
6. เปิดพื้นที่ให้ลูกได้พูดถึงความรู้สึก
เด็กหลายคนไม่กล้าแสดงออกถึงความเศร้าหรือความสับสนเพราะมีปัญหาครอบครัว การชวนคุยด้วยคำถามเปิด เช่น “หนูรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้บ้าง” จะช่วยให้ลูกกล้าเปิดใจมากขึ้น ส่วนพ่อแม่ก็รับฟังอย่างตั้งใจ และต้องไม่ตัดสินลูก เพราะนี่คือพื้นฐานสำคัญของการเลี้ยงลูกในช่วงนี้
7. ร่วมมือกันตัดสินใจเรื่องสำคัญของลูก
แม้พ่อแม่จะแยกกันอยู่ แต่การตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล หรืออนาคตของลูก ควรทำร่วมกัน เพื่อให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ยังอยู่ข้างเดียวกับเขาเสมอ
8. รักษาความสม่ำเสมอในกติกาการเลี้ยงดู
เด็กจะรู้สึกมั่นคงเมื่อกติกาชีวิตในแต่ละบ้านไม่ต่างกันมากนัก เช่น เวลานอน เวลาทำการบ้าน หรือกติกาการใช้โทรศัพท์ หากพ่อแม่ตกลงให้มีกฎพื้นฐานร่วมกัน เด็กจะไม่สับสนและปรับตัวได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ว่าพวกเขาจะอยู่กับใคร ก็ยังรู้ว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับ
9. สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับอีกฝ่าย
เวลาของลูกที่ควรจะได้ใช้ร่วมกับอีกฝ่าย ไม่ควรถูกจำกัดด้วยอารมณ์ของผู้ใหญ่ การเปิดใจและให้ลูกมีอิสระในการสร้างความสัมพันธ์กับแต่ละฝ่าย จะช่วยให้เขาเติบโตอย่างมั่นคงทางอารมณ์ และรู้ว่าตนเองยังมีครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนอยู่เสมอ
10. ดูแลสุขภาพจิตของตัวเองก่อน
Co-parenting จะดำเนินไปอย่างราบรื่นได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่มีสภาวะจิตใจที่มั่นคงพอจะรับฟังและร่วมมือกันอย่างปรองดอง หากยังมีบาดแผล ความโกรธ หรือความเสียใจที่ยังไม่คลี่คลาย การเลี้ยงดูลูกร่วมกันอาจกลายเป็นความตึงเครียดที่ส่งต่อไปถึงลูกได้ ดังนั้นหากยังมีปัญหาทางจิตใจเพราะปัญหาครอบครัวอยู่ การยอมรับว่าตัวเองต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เพราะเมื่อพ่อแม่มีใจที่สงบ ลูกก็จะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยและพลังบวกที่มั่นคงจากพวกเขาเช่นกัน
บทสรุป
การแยกทางของพ่อแม่อาจเปลี่ยนรูปแบบของครอบครัว แต่ไม่จำเป็นต้องลดความรักที่ลูกได้รับลงเลย เพราะสิ่งที่เด็กต้องการที่สุดไม่ใช่บ้านที่สมบูรณ์แบบ แต่คือพ่อแม่ที่ยังร่วมมือกันได้ด้วยความเข้าใจ การมีข้อตกลง Co-parenting จึงช่วยให้ลูกยังรู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักจากทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม และเติบโตขึ้นด้วยความมั่นคงทางใจ แม้พ่อแม่จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้วก็ตาม หากคุณกำลังพยายามปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงนี้ และอยากเริ่มต้นดูแลลูกอย่างดีที่สุดในรูปแบบใหม่
Happy Me Clinic พร้อมช่วยเหลือคุณด้วยนักจิตวิทยาและทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เข้าใจทั้งหัวใจของพ่อแม่และความรู้สึกของลูก


