“แค่จะกินข้าวข้างนอก ทำไมต้องทะเลาะกันทุกที?” คำถามธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นความขัดแย้งซ้ำ ๆ ในหลายความสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อคู่รักเริ่มคบกันมาสักพัก ความต่างเรื่องการใช้เงิน ไลฟ์สไตล์ หรือเป้าหมายชีวิตเริ่มเผยตัวชัดเจนขึ้น ช่วงแรกของความรัก เราอาจมองข้ามความต่างเหล่านี้ เพราะความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันยังหล่อเลี้ยงใจอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความต่างเล็ก ๆ กลับสะสมและกลายเป็นชนวนของการทะเลาะ ห่างเหิน และรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเราจริง ๆ
ความต่างเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องเล็ก
ความต่างเรื่องเงินไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขในบัญชี แต่มันคือ “Money Mindset” หรือแนวคิดเกี่ยวกับเงิน ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การเลี้ยงดูจากครอบครัว และสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง บางคนเติบโตมาในครอบครัวที่ต้องวางแผนจัดการการใช้เงินจนเป็นนิสัย จึงรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเห็นคู่รักของตนใช้เงินแบบไม่วางแผน ในขณะที่อีกคนอาจมีอิสระทางการเงินตั้งแต่เด็ก และมองว่าเงินมีไว้ใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดี ความต่างของสองแนวคิดนี้ ไม่ใช่แค่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่มันคือการปะทะกันของ ”ความเชื่อพื้นฐาน” ด้านการเงิน ที่ฝังรากทางจิตใจที่ไม่เคยถูกพูดคุยหรือทำความเข้าใจอย่างจริงจัง
ถ้าไม่คุยกันตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?
หากไม่ได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจตั้งแต่ต้น ความต่างด้าน “ฐานะ – ไลฟ์สไตล์ – ความคาดหวัง” จะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อความสัมพันธ์เดินหน้าไปเรื่อยๆ และเห็นภาพชัดขึ้นเมื่อคู่รักเริ่มวางแผนที่จะอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น ตอนต้องวางแผนซื้อบ้าน มีลูก หรือใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว ความต่างเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความไม่มั่นคงทางใจ ความเหนื่อยล้าในความสัมพันธ์ การทะเลาะต่อหน้าลูก หรือแม้แต่การตัดสินใจแยกทางในที่สุด
หลายคู่พยายามเลี่ยงการคุยเรื่องเงิน เพราะกลัวทะเลาะกัน แต่การเงียบไม่ใช่ทางออก มันจะนำไปสู่ความอึดอัด ความรู้สึกถอยห่าง หรือประชดประชันโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ความใกล้ชิดที่เคยมีจะค่อย ๆ จางหาย แม้จะยังรักกันอยู่ แต่ก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยากพูด เพราะกลัวจะถูกตัดสิน หรือไม่เข้าใจกันอยู่ดี
ดังนั้น แทนที่จะหลีกเลี่ยง เราควรเริ่มคุยกันอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้หลักพื้นฐาน 3 ข้อ:
- เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น ตอนที่ทั้งสองฝ่ายอารมณ์นิ่ง ไม่เหนื่อยจากงาน และใช้ภาษาที่ไม่กล่าวโทษ เช่น “เรารู้สึกไม่สบายใจเรื่องเงิน เพราะเรากังวลอนาคต” แทน “เธอใช้เงินเกินตัว” ภาษาที่อ่อนโยนจะช่วยให้เกิดการรับฟัง ไม่ป้องกันตัว
- เข้าใจว่าเราเติบโตมาต่างกัน แนวคิด “Money Mindset” เป็นผลจากประสบการณ์ที่สั่งสมในครอบครัวของแต่ละคน การตระหนักว่าเงินของอีกฝ่ายอาจมีความหมายต่างจากของเรา เช่น ความมั่นคง หรืออิสรภาพ จะช่วยให้เราหาทางสร้าง “ค่านิยมทางการเงินร่วมกัน” แทนที่จะพยายามเปลี่ยนอีกฝ่าย
- ตั้งเป้าหมายร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินซื้อบ้าน เที่ยวต่างประเทศ หรือมีลูก เป้าหมายร่วมจะช่วยให้เราเห็นภาพอนาคตร่วมกัน และปรับแนวคิดของทั้งสองฝ่ายให้ใกล้กันมากขึ้น
เพราะความรักอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่พาความสัมพันธ์ให้เดินต่อได้คือความเข้าใจ และความสามารถในการจัดการ “ความต่าง” อย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะเรื่องเงินที่เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตคู่
อย่างไรก็ตาม หากคุณพยายามคุยกันแล้วแต่ยังลงเอยด้วยน้ำตา ความเงียบ หรือความอึดอัดใจ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาให้ “คนกลาง” ที่เข้าใจทั้งด้านจิตวิทยาและความสัมพันธ์เข้ามาช่วย การปรึกษานักบำบัดคู่รักไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่มันคือการลงทุนในความเข้าใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมเติบโตไปด้วยกัน
หากคุณพร้อมเริ่มบทสนทนาใหม่ด้วยความเข้าใจ คลินิกของเรามีบริการให้คำปรึกษาคู่รักโดยนักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญในความสัมพันธ์ของคนไทย พร้อมสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เข้าใจง่าย และปลอดภัยสำหรับคุณทั้งสองคน