เมื่อ “ฟ้ารักพ่อ” ไม่ได้จบแค่ในมุกตลก
ในยุคนี้หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ฟ้ารักพ่อ” ที่หมายถึงฝ่ายหนึ่งในความสัมพันธ์เป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนอีกฝ่ายก็สามารถใช้เงินได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ
คำนี้มักถูกพูดเล่นกันในโซเชียล หรือแม้แต่ในวงเพื่อนฝูง พร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่…เบื้องหลังคำหยอกนั้น อาจซ่อน ช่องว่างทางใจ ที่ไม่มีใครอยากพูดถึง
บางครั้งการที่ใครสักคนอยู่ในบทบาทของ “ฟ้า” หรือ “พ่อ” อาจไม่ได้สบายใจอย่างที่เห็น และฝ่ายที่เป็นผู้พึ่งพาก็ไม่ได้รู้สึกเบาสบายเสมอไปเช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเล่นบทบาทกันลงตัว อาจแฝงความรู้สึกไม่เท่าเทียม ความกดดัน และบั่นทอนความมั่นใจในตัวเองอย่างเงียบ ๆ
เพราะ เมื่อเรื่องเงินไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่กลายเป็นเรื่องของ “ใจ” ที่ส่งผลกระทบต่อ “ภาพที่เรามองตัวเอง” และ “ภาพที่เรารู้สึกว่าคนรักมองเรา” ทุกวัน
1. เมื่อการพึ่งพาเงิน กลายเป็นความรู้สึกด้อยค่าในตัวตน
ในสังคมที่เชิดชูความสามารถ ความมั่นคง และการยืนหยัดด้วยตัวเอง คนที่พึ่งพาฝ่ายตรงข้ามเรื่องเงิน อาจเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองไม่เท่าคนอื่น ไม่มีคุณค่า หรือไม่สามารถดูแลตัวเองได้
ความรู้สึกเหล่านี้มักค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น จากการเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง หรือแม้แต่กับ “ภาพในหัว” ของตัวเองที่เคยคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ซึ่งพออยู่ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกนั้นก็เริ่มกลายเป็นเสียงในใจว่า…
“เราควรทำได้ดีกว่านี้”
“ทำไมถึงยังต้องขอเงินเขาใช้อยู่”
“เราไม่มีสิทธิ์จะออกความเห็นหรือขออะไรเพิ่ม เพราะเราไม่ได้หาเงินเอง”
ความรู้สึกเหล่านี้ค่อย ๆ กัดกินความมั่นใจในตัวเอง (self-esteem) และทำให้หลายคนไม่กล้าเป็นตัวของตัวเองในความสัมพันธ์ ไม่กล้าออกความคิดเห็น ไม่กล้าเลือกสิ่งที่ต้องการ เพราะรู้สึกว่าไม่มี “สิทธิ” ที่จะขออะไร
2. กลัวว่าจะถูกทิ้ง ถ้าหากไม่มีเงินของเขา
ความกลัวที่ไม่ได้พูดออกมาบ่อยนัก…แต่ฝังลึกในใจของผู้ที่อยู่ในบทบาท “ผู้รับ” ใครหลายคน คือคำถามว่า
“ถ้าวันหนึ่งเขาไม่จ่ายให้เราแล้ว… เขาจะยังรักเราอยู่ไหม?”
“ถ้าเขารู้ว่าเราไม่มีอะไรเลย เราจะยังมีคุณค่ามั้ย?”
ความกลัวที่จะ “ไม่เหลืออะไรเลย” ทำให้บางคนเลือกที่จะอดทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่เติมเต็ม เพราะอย่างน้อย ยังมีที่อยู่ ยังมีคนดูแล ยังมีเงินใช้อยู่
แม้ในใจจะรู้สึกว่าความรักนั้นเริ่มจืดจาง หรือชีวิตคู่ไม่ได้พัฒนาไปไหน แต่เพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญกับความเปล่าเปลี่ยว ความลำบาก และการสูญเสียอย่างฉับพลัน ความกลัวนั้นจึงทำให้เรายอมทน… ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความรักแบบที่เราต้องการ
3. กลัวการเริ่มต้นใหม่จากศูนย์
สำหรับบางคน การแยกทางสำหรับคนที่พึ่งพาทางการเงินไม่ได้จบแค่เรื่อง “ใจ” แต่มันคือการต้องเปลี่ยนชีวิตทั้งระบบ หรือ “เริ่มชีวิตใหม่”โดยไม่มีความมั่นคงเดิมอีกต่อไป ตั้งแต่ การต้องย้ายบ้าน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หางานใหม่ เริ่มต้นในสังคมใหม่ และใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป ทุกอย่างฟังดูเหนื่อยและน่ากลัว จึงทำให้หลายคน อดทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุขหรือไม่เติมเต็ม เพราะมองว่าการทนอยู่กับสิ่งที่ “ไม่โอเคแต่คุ้นเคย” ยังง่ายกว่าการไปเริ่มใหม่ทั้งหมด การเริ่มใหม่ในวัยผู้ใหญ่หรือหลังจากใช้ชีวิตกับใครคนหนึ่งมานาน มันหมายถึงการยอมปล่อยสิ่งเดิมไปทั้งหมด และต้องเผชิญความไม่แน่นอนอีกครั้ง ในช่วงวัยที่เริ่มหาความมั่นคง
4. ความสัมพันธ์ที่เปราะบาง อาจกลายเป็นกับดักของใจ
เมื่อความกลัว ความด้อยค่า และการพึ่งพาเกิดขึ้นพร้อมกัน ความสัมพันธ์นั้นก็เริ่มกลายเป็น “พื้นที่ที่ไม่มีความสุข” แต่ก็ยังไม่กล้าจะเดินออกมา
- เราอาจกลายเป็น People Pleaser ที่พยายามเอาใจทุกอย่างเพราะกลัวจะสูญเสีย
- ไม่กล้าพูดความรู้สึกจริง ๆ เพราะรู้สึกว่า “เราพึ่งเขาอยู่”
- ค่อย ๆ มองตัวเองว่าด้อยลง ไม่กล้าเรียกร้อง ไม่กล้าแสดงออก
- จมอยู่กับความรู้สึกเศร้า เหงา โดดเดี่ยว แม้จะอยู่ในความสัมพันธ์
และในบางกรณี ความรู้สึกเหล่านี้อาจสะสมจนกลายเป็น ความเครียดเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้า หรือความรู้สึกหมดไฟในชีวิต
เมื่อความรักถูกทดสอบด้วยภาระ และคำถามในใจที่ไม่มีใครตอบ
หลายคนอาจคิดว่า ฝ่ายที่หาเงินหรือให้เงินควรจะเป็นคนที่มั่นคง แต่ในความเป็นจริง เขาก็มีความไม่มั่นใจในความรักเช่นกันคนที่เป็น “ผู้ให้” อาจรู้สึกว่า…
“เขารักเราจริง ๆ หรือแค่รักเพราะเราให้เงิน?”
“เราต้องดูแลเขาไปแบบนี้ตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า?”
“เราควบคุมไม่ได้เลยว่าเขาจะอยู่ต่อเพราะอะไร”
ยิ่งนานไป ความกังวลนี้อาจกลายเป็นความเครียด ความรู้สึกว่าตัวเองถูกใช้ หรือเริ่มควบคุมอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว เพราะต้องการพิสูจน์ว่าความรักนั้น “จริง” หรือไม่ ความสัมพันธ์แบบนี้จึงกลายเป็นการเหนี่ยวรั้งกันไว้ด้วยความไม่มั่นใจ แทนที่จะเป็นความรักที่เกื้อหนุนกัน
ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือเรื่องใจ
“ฟ้ารักพ่อ” อาจเริ่มจากคำแซวที่ฟังดูขำ ๆ แต่ความจริงแล้ว ความไม่เท่าเทียมในเรื่องเงินอาจกลายเป็น “เงาในใจ” ที่ค่อย ๆ กัดกินทั้งคู่ หากไม่มีการพูดคุยกันอย่างเข้าใจ
สิ่งที่ช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้นคือ…
- การพูดคุยเรื่องเงินแบบเปิดใจ
- การตั้งขอบเขตที่ชัดเจนว่าอะไรคือ “ให้ด้วยใจ” และอะไรคือ “ความรับผิดชอบร่วม”
- การเสริมความมั่นใจให้กันและกัน ทั้งในบทบาทของผู้ให้ และผู้รับ
- การสร้างภาพของความสัมพันธ์ที่ยืนอยู่บน “ความเท่าเทียม” มากกว่า “บทบาท”
ในที่สุด ความรักที่ดีไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ไร้ปัญหา แต่คือความสัมพันธ์ที่มีพื้นที่ให้เราเติบโต โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีค่า หากไม่มีเงิน
พร้อมเปิดใจพูดคุยเรื่องเงินกับคนรักอย่างมั่นใจ?
ทีมงาน Happy Me Clinic ของเราพร้อมให้คำปรึกษาที่อบอุ่น เข้าใจ และเป็นมืออาชีพ เพื่อช่วยคุณและคนรักสร้างบทสนทนาเรื่องเงินที่มีความหมายและยั่งยืน ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นดูแลความสัมพันธ์ของคุณได้เลย